1 การตรวจวิเคราะห์หาค่าความเป็นกรด-ด่างในห้องปฏิบัติ วิธีการ คือ สุ่มเก็บตัวอย่างดินที่ต้องการทราบค่าความเป็นกรด-ด่าง นำส่งให้ห้องปฏิบัติการทำการวิเคราะห์ จากนั้นผู้ทำการ ตรวจวิเคราะห์จะนำตัวอย่างดินมาละลายกับน้ำบริสุทธิ์แล้ววัดค่าความเป็นกรด-ด่าง ด้วยเครื่องวิเคราะห์ค่าความเป็นกรด-ด่างที่เรียกกันทั่วไปว่า pH meter วิธีการตรวจวัดนี้ให้ค่าความถูกต้องของการวัดกว่า 80% ขึ้นไป 2.
5 ก็แสดงว่าดินเป็นกรดเล็กน้อย ถ้าคุณอยากให้ดินเป็นกรดมากยิ่งขึ้น คุณก็จะต้องใส่สิ่งที่เป็นกรดเพิ่มเข้าไปอีก ถ้าคุณอยากเข้าใจพื้นฐานของความเป็นกรดด่างจริงๆ ให้มองค่า pH แบบสเกลลอการิทึม ซึ่งก็คือแต่ละค่าแทนการเปลี่ยนแปลง 10 เท่า เพราะฉะนั้นค่า pH ที่ 8 ก็คือค่าที่เป็นด่างกว่าค่า pH 7 อยู่ 10 เท่า และค่า pH ที่ 8. 5 ก็มีค่าความเป็นด่างมากกว่า 15 เท่า เป็นต้น โฆษณา ดูชนิดของดิน. วิธีนี้ไม่เหมือนกับการดูค่า pH ของดิน และก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะชนิดของดินจะเป็นตัวบอกว่าคุณจะทำให้ดินเป็นกรดด้วยวิธีไหน ดินที่ระบายน้ำได้ดีและค่อนข้างร่วนจะเพิ่มความเป็นกรดได้ง่ายโดยการใช้สารประกอบอินทรีย์ในปริมาณมากๆ ที่จะช่วยเพิ่มความเป็นกรดให้ดินขณะที่ย่อยสลาย ดินที่เป็นดินเหนียวอัดแน่นจะทำให้เป็นกรดได้ยากมากๆ เพราะการใส่วัตถุอินทรีย์ลงไปในดินชนิดนี้จะทำให้ดินยิ่งเป็นด่าง มากขึ้น แทนที่น้อยลง ใส่วัตถุอินทรีย์ลงไปในดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี. ในการเพิ่มความเป็นกรดให้ดินชนิดนี้นั้น วัตถุอินทรีย์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะวัตถุอินทรีย์จะเพิ่มความเป็นกรดในดินขณะย่อยสลาย แต่ก็ต้องใช้ในปริมาณมากจึงจะลดค่า pH ลงได้ [3] วัตถุอินทรีย์ที่น่านำมาใช้ได้แก่ สแฟคนั่มมอสพีทมอส ใบโอ๊คหมัก ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก เติมธาตุกำมะถันลงไปในดินที่อัดแน่นหรือมีส่วนประกอบของดินเหนียวอยู่เยอะ.
ปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์หรือวัสดุปรับปรุงดิน เครดิต: « แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 10, 2011, 08:36:56 PM โดย น้าหลุยส์ใบมีด » ใบมีดตัดหญ้ามหัศจรรย์ ค้นหากระทู้พิมพ์ น้าหลุยใบมีด ลงในกูเกิ้ล ไผ่หวาน กระทู้: 5510 ยินดีให้ข้อมูลด้วยความจริงจังและจริงใจ ตรวจวัดดินด้วยเครื่องวัดความเป็นกรด-ด่างของดินดูก่อนว่าเป็นกรด-ด่างเท่าไร แล้วค่อยแก้ไข ถามเข้ามาใหม่ ถ้าเป็นกรด ใช้ปูนขาวร่วมกับอินทรีย์วัตถุ การใส่อินทรีย์วัตถุ เช่นขี้วัว ขี้ไก่ เป็นต้น การใส่ควรใช้ ไร่ละ 6, 000 กก. ต่อปี ส่วนการแก้ไขดินเป็นกรด ใช้ปูนขาว 400-600 กก. ต่อไร่ ไถคลุก แล้ววัดความเป็นกรดด่างใหม่ ถ้ายังพบความเป็นกรด- ด่างใหม่ ก็หว่านปูนแล้วไถกลบใหม่ สวนไผ่หวานเพชรน้ำผึ้ง ขอบคุณมากๆครับ พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้ามาดูเลยครับ แล้วผมจะไปตรวจค่าความเป็นกรดก่อนนะครับ konpa กระทู้: 162 ตรวจวัดดินด้วยเครื่องวัดความเป็นกรด-ด่างของดินดูก่อนว่าเป็นกรด-ด่างเท่าไร แล้วค่อยแก้ไข ถามเข้ามาใหม่ ถ้าเป็นกรด ใช้ปูนขาวร่วมกับอินทรีย์วัตถุ การใส่อินทรีย์วัตถุ เช่นขี้วัว ขี้ไก่ เป็นต้น การใส่ควรใช้ ไร่ละ 6, 000 กก. ต่อไร่ ไถคลุก แล้ววัดความเป็นกรดด่างใหม่ ถ้ายังพบความเป็นกรด- ด่างใหม่ ก็หว่านปูนแล้วไถกลบใหม่ ป๋าครับ.... ใส่อินทรีย์วัตถุ เช่นขี้วัว ขี้ไก่ 6000 กก/ไร่/ปี เท่ากับ ขึ้วัว 20 กก.
อย่างที่กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า การใส่วัตถุอินทรีย์ลงไปในดินที่มีความหนาแน่นสูงจะทำให้ดินเป็นด่างยิ่งกว่าเก่า เพราะดินจะยิ่งกักเก็บความชื้นซึ่งจะทำให้ดินยิ่งเป็นด่างมากขึ้น ด้วยเหตุนี้การเติมธาตุกำมะถันหรือเหล็กซัลเฟตจึงเป็นวิธีที่เพิ่มกรดในดินที่มีดินเดียวเป็นส่วนประกอบอยู่มากที่ได้ผลที่สุด ธาตุกำมะถันเพิ่มความเป็นกรดให้ดินเนื่องจากแบคทีเรียเปลี่ยนธาตุกำมะถันให้กลายเป็นกรดซัลฟูริก [4] ธาตุกำมะถัน 1 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 100 ตารางฟุตสามารถลดค่า pH ของดินที่ 7 ให้เหลือ 4. 5 ได้ เนื่องจากธาตุกำมะถันตอบสนองช้า คุณจะควรใส่ธาตุกำมะถันลงไปในดิน 1 ปีก่อนปลูกต้นไม้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ใส่ธาตุกำมะถันลงไปในดินให้ลึกประมาณ 6 นิ้ว ใส่เหล็กซัลเฟตลงไปในดินที่อัดแน่นหรือมีส่วนประกอบของดินเหนียวอยู่เยอะ.
0 ตัน/ไร่ สำหรับดินเปรี้ยวปานกลาง โดยใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมี ใช้วิธีการเดียวกับการปรับปรุงดินเปรี้ยวจัดที่กล่าวต่อไป โดยไม่ต้องมีการล้างดิน วิธีการปลูกข้าวในดินเปรี้ยวน้อยและเปรี้ยวปานกลาง ควรดำเนินการใส่ปุ๋ย ดังนี้ 1. 1 ใส่ปุ๋ยฟอสเฟต (สูตร 0-3-0) จำนวนไร่ละ 100 กิโลกรัม โดยหว่านให้ทั่วแปลงนาขณะเตรียมดินแล้วไถคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน (ก่อนหว่านอาจพรมน้ำให้ชื้นก่อนจะได้หว่านได้สะดวกขึ้น) ซึ่งในช่วงเตรียมดินหากมีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมด้วยกันจะเป็นการดี 1. 2 ใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 สำหรับนาดินเหนียว หากเป็นดินทรายใช้สูตร 16-16-8 จำนวนไร่ละ 25-30 กิโลกรัม โดยหว่านให้ทั่วแปลงนาก่อนปักดำข้าว 1 วัน หรือภายใน 10 วัน หลังจากปักดำข้าวหลังนาดำแต่ถ้าเป็นนาหว่านควรใส่ปุ๋ยหลังจากข้าวงอกแล้ว 20-25 วัน 1. 3 ใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 จำนวนไร่ละ 10 กิโลกรัม (หรือปุ๋ยสูตร 21-0-0 จำนวนไร่ละ 20 กิโลกรัม โดยหว่านในระยะข้าวสร้างรวงอ่อน คือก่อนเก็บเกี่ยว 60 วัน หรือหลังจากปักดำประมาณ 35-45 วันสำหรับนาดำ ถ้าเป็นนาหว่านหลังจากใส่ปุ๋ยครั้งแรก ประมาณ 35-45 วัน 2. ดินเปรี้ยวจัด ดินเปรี้ยวจัดนี้เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำมาก มีธาตุอาหารไม่เพียงพอต่อข้าว โดยเฉพาะธาตุฟอสฟอรัส ถ้าไม่ใส่ข้าวจะไม่แตกกอ ผลผลิตจะต่ำมากหรือไม่ได้ผลผลิตเลย และยังต้องมีการจัดการพิเศษนอกเหนือจากการใช้ปุ๋ยอย่างเพียงพอ เพื่อแก้ความเป็นกรดจัดของดิน เช่น การใส่ปูนมาร์ล การขังน้ำ ล่วงหน้า การล้างดิน หรือการใส่ขี้เถ้าแกลบ (80 กิโลกรัมต่อไร่ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะทำให้ผลผลิตสูงขึ้นถึง 60-70 ถังต่อไร่) วิธีการปลูกข้าวในดินเปรี้ยวจัด จึงควรมีการปรับปรุงดินและการใส่ปุ๋ย ดังนี้ 2.
5 ตัน – ดินเปรี้ยวปานกลาง ใส่ไร่ละ 1 ตัน – ดินเปรี้ยวจัด ใส่ไร่ละ 2 ตัน การใส่ปุ๋ยเคมี ควรใส่ปุ๋ยเคมีแก่พืชที่ปลูกให้ถูกต้องตามสูตรอัตราและเวลาที่ราชการแนะนำ แล้วแต่ชนิดพืช เนื่องจากดินเปรี้ยว (โดยเฉพาะดินเปรี้ยวปานกลางถึงเปรี้ยวจัด) จะมีการปัญหาการขาดไนโตรเจนและฟอสฟอรัสอย่างรุนแรง วิธีการปรับปรุงดินเปรี้ยวเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว การทำนาข้าวในดินเปรี้ยว จำเป็นต้องมีการปรับปรุงดินเพื่อให้ได้ผลผลิตข้าวสูงขึ้น ซึ่งจะมีวิธีการที่แตกต่างกันไปตามชนิดความเปรี้ยวของดิน ดังนี้ 1. ดินเปรี้ยวน้อยและดินเปรี้ยวปานกลาง ดินเปรี้ยวน้อยมีปัญหาการขาดธาตุอาหารพืชและความเป็นกรดของดินรุนแรงน้อยกว่าดินเปรี้ยวปานกลาง แต่สามารถใช้วิธีการปรับปรุงดินเช่นเดียวกันได้ ดินเปรี้ยวปานกลางมีปัญหาสำคัญในการปลูกข้าว คือ ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีธาตุไตโตรเจนฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ไม่เพียงพอและขาดฟอสฟอรัสอย่างรุนแรง ถ้าหากใส่ปุ๋ยอย่างเพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องใช้กรรมวิธีพิเศษอื่นใด เช่นการใส่ปูน ก็สามารถเพิ่มผลผลิตข้าวให้สูงขึ้นได้ หรือหามีความสะดวกในการใช้ปูน ก็สามารถใช้ปูนมาร์ลในอัตรา 0. 5 ตัน/ไร่ สำหรับดินเปรี้ยวน้อย และ 1.
0-6. 0 pH 6. 0-7. 0 pH 7. 0-10. 0 เอาปากกาขีดเส้นแบ่งเลยก็ได้ครับ จะได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งเสร็จแล้ว ให้เราโฟกัสเฉพาะช่วง pH 4. 0 ก่อนครับ ไล่ดูธาตุอาหารแต่ละตัวตามแนวขวาง เราจะพบว่าปลายด้านซ้ายมือของ ฟอสฟอรัส (P) จะเริ่มตีบลงตั้งแต่ pH 6. 5 ช่วง pH 4. 5-6.
ลดการใช้ปุ๋ยเคมีที่มากเกินความต้องการของพืช โดยเฉพาะปุ๋ยไนโตรเจน(ยูเรีย) 2. ในกรณีที่มีน้ำเพียงพอ ควรระบายน้ำที่มีความเป็นกรดสูงออกจากแปลง แล้วขังน้ำใหม่ ที่มีสภาพความเป็นกรดน้อยกว่าแทน 3. การปรับระดับผิวหน้าดิน ปรับระดับผิวหน้าดินให้มีความลาดเอียงพอที่จะให้น้ำไหลออกสู่คลองระบายน้ำได้ 4. การยกร่องปลูกพืช เป็นวิธีการใช้สำหรับการปลูกพืชไร่ ผัก ผลไม้ หรือไม้ยืนต้น โดยวิธีการนี้จำเป็นต้องมีแหล่งน้ำ ชลประทานเพื่อใช้ขังในร่องและถ่ายเทน้ำได้เมื่อน้ำในร่องเป็นกรดจัด จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงการเกิดน้ำท่วมในพื้นที่นั้นๆ หากมีโอกาสเสี่ยงสูงก็ไม่ควรจะทำ หรืออาจยกร่องแบบเตี้ยๆเปลี่ยนเป็นปลูกพืชล้มลุกแทนโดยสามารถปลูกหมุนเวียนกับข้าวได้ 5. ปรับปรุงบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ทำได้หลายวิธี ดังนี้ - ใช้ปุ๋ยคอก, ใช้ปุ๋ยหมัก, ใช้ปุ๋ยพืชสดเช่น พืชตระกูลถั่ว 6. ปลูกพืชคลุมดิน นิยมใช้พืชตระกูลถั่วที่มีคุณสมบัติคลุมดินได้หนาแน่นเพื่อกันวัชพืช ลดการชะล้าง เก็บความชื้นไว้ในดินได้ดี และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน 7. ปลูกพืชหมุนเวียน โดยปลูกพืชหลายชนิดหมุนเวียนในพื้นที่เดียวกัน ควรมีพืชตระกูลถั่ว ซึ่งมีคุณสมบัติบำรุงดินร่วมอยู่ด้วยเพื่อให้การใช้ธาตุอาหารจากดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ขอบคุณข้อมูลจากเว็ป: เกษตรก้าวหน้า............................................................................................ หากท่านต้องการซื้อเมล็ดพันธุ์คุณภาพ อุปกรณ์การเกษตร ทั้งปลีกและส่ง ติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท 108เทคโนฟาร์ม จำกัด โทร.
ถามว่าจำเป็นแค่ไหนที่เราต้องรู้ค่าความเป็นกรด-ด่าง ของดิน? …คำตอบคือ จำเป็นมาก เพราะความเป็นกรด-ด่าง เป็นตัวบ่งชี้ประการแรกที่บ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของดิน และแก้ไขความเข้าใจผิดบางประการด้วย หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่าดินเป็นกรดเป็นดินที่ไม่เหมาะในการทำการเกษตร แต่แท้จริงแล้ว ดินที่เหมาะสมกับภาคการเกษตรควรมีสภาพเป็นกรดเล็กน้อย แต่ไม่ควรมีค่าความเป็นกรดต่ำกว่า 5. 5 เพราะความเป็นกรดที่ต่ำกว่านี้จะมีผลต่อธาตุอาหารพืชในดิน โดยทำให้ธาตุอาหารพืช เช่น ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟต โมลิบตินัม ไม่สามารถละลายออกมาในรูปที่รากพืชจะดูดไปใช้ได้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าดินเป็นกรด -ด่าง?