ผู้คนยังแปล What hospital did they take her to? I gotta go. I will call you in the morning. I gotta go. We will call you from the hospital as soon as we hear anything. You can call me later but I gotta go. Hope you have fun. Um why don't you just listen to a couple songs and call me after? I gotta go. แม่ โอเค ใคร บอก วอร์ ที เรา ต้อง ปิดตาย ที่นี่ I gotta make a call and you see I don't feel like going back to my room to get a quarter. ฉันต้อง ใช้โทรศัพท์ แล้ว ฉัน ก็ไม่อยากจะ… เข้าไปหยิบเหรียญในห้อง
# Gotta hit the books, as they say # hit the books Gotta hit the books, as they say. (ต้องตั้งใจเรียนหนังสือเหมือนที่เขาพูด) Q: คำบรรยาย: gotta, hit the books, as they say? A: + gotta เป็นคำย่อของ "have/has got to"- แปลว่า "ต้องทำอะไร" เรามีโครงสร้างประโยค ตัวอย่าง: I have got to go (ฉันต้องไปแล้ว! ) → ประโยคสั้นๆ (การสื่อสารอย่างใกล้ชิด): I gotta go มักใช้ในการสื่อสารการสนทนาในชีวิตประจำวันนะคะ + "hit the books": – ในประเยคนี้ใช้เป็นสำนวนซึ่งมีความหมายที่เปรียบเปรย – หมายความว่า:การเรียนอย่างหนัก ตั้งใจเรียน อุทิศเวลาให้กับหนังสือตำรา ตัวอย่าง: You better hit the books if you want to pass your exam on Friday. ( คุณควรตั้งใจเรียนถ้าคุณอยากสอบผ่านการสอบในวันศุกร์นี้) + As ในบทเรียนนี้หมายความว่า "เหมือน" ตัวอย่าง: Treat me as a friend. ( ปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง) – As they say ( (เหมือนเขา/คนอื่นพูด) – คุณสามารถใช้เพิ่มเติมในการแต่งประโยคนะคะ! Q: ทำไมพูดว่า "Gotta hit the books" A: ในบริบทนี้ ปีเตอร์อยู่ในห้องสมุด ดังนั้นเมื่อเบอกลากัน เราเข้าใจได้ว่า: เฟลิสและแอนนาบอกว่าถึงเวลาต้องไปแล้ว ปีเตอร์ก็ตอบ: โอเค ฉันเราไปอ่านหนังสือเหล่านี้ทั้งหมด (หมายความว่า เราก็ต้องต้องตั้งใจเรียนอย่างหนัก) # Hitting his books with his hand Q: ความหมายของประโยค "Hitting his books with his hand" A: "Hitting his books with his hand" – ระบุการกระทำของปีเตอร์ที่ตีหนังสือ แต่มีความหมายแบบเปรียบเทียบ -> แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นสำหรับการเรียนหนังสือของปีเตอร์ # What does Peter mean when he says "Gotta hit the book"?
Init strange? 5. KINDA = kind of แปลว่า ค่อนข้างจะ (ใช้กับความรู้สึก ลักษณะภายนอก) She's kinda cute. Are you kinda mad at me? 6. LEMME = let me แปลว่า ให้ฉัน (ทำบางอย่าง) Lemme go! He didn't lemme see it. 7. WANNA = want to แปลว่า ต้องการ (การกระทำ) ตามด้วย Verb I wanna go home. I don't wanna go. Do you wanna watch TV? หรืออีกความหมายหนึ่งคือ WANNA = want a แปลว่า ต้องการ (สิ่งของ) ใช้ตามด้วย Noun นะครับ I wanna coffee. I don't wanna thing from you. Do you wanna beer? กลุ่มคำย่อนี้ยังมีอีกมายมายเช่น can't don't there're ถึงแม้จะใช้ไม่ได้ในการเขียนอย่างเป็นทางการอย่าง Resume หรือ Academic Essay แต่ใช้ได้ผลกับการสนทนาทั่วๆไปในชีวิตประจำวันครับ ปัญหาส่วนใหญ่ของคนไทยเมื่อสื่อสารกับชาวต่างชาติคือการ พูดประโยคเต็มๆ ซึ่งในบางครั้งเราอาจเลือกใช้คำย่อพวกนี้เพื่อเป็นการแสดงความสนิทสนมแล้วยังทำให้การสนทนาไหลลื่นอีกด้วยนะ ติดตามเทคนิคการพูดภาษาอังกฤษที่น่าสนใจกับ DailyEnglish เพื่อให้ฝรั่งพูด…คนไทยไม่งง อีกต่อไปครับ ที่มาภาพ: Dreamloom
(ชุมชนทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข) # Good day mateys Good day, mateys! (ขอให้วันนี้ของเพื่อนๆเป็นวันที่ดี! ) Q: อธิบาย: good day, mateys? A: 1. Matey = Guy เป็นคำสแลงภาษาอังกฤษอเมริกัน, ซึ่งไม่เป็นทางการและมักจะใช้กับเพื่อนหรือคนสนิทในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน + ถ้าเป็นคำนามเอกพจน์ ( (guy/ matey) ใช้เพื่อพูดถึงผู้ชาย สามารถแปลได้ว่า: เขา / แก / เพื่อน/ผู้ชายคนนั้น…. แล้วแต่ในบริบท ตัวอย่าง: Tuan is a good matey/ guy. (Tuan เป็นผู้ชายคนดี) + คำนามพหูพจน์ "mateys" ใช้เพื่อพูดถึงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สามารถแปลได้ว่า: เพื่อนๆ / พี่น้อง/ พวกมึง …. แล้วแต่ในบริบท Come on, you guys, let's live it up! (มาเลยเพื่อน! เล่นให้หมดตัวเลย! ) See you later, mateys ( พบกันใหม่นะพวกมึง) 2. Good day: ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดี l = Have a nice/great/good day # Where does Felice come from? Q: Where is Felice from? และ Where does Felice come from? ต่างกันหรือไม่? A: เมื่ออยากถาม คุณมาจากไหน? เราสามารถใช้ได้สองตัวอย่างประโยคนี้: Where are you from? = Where do you come from? + สำหรับประธานของประโยคเป็นเอกพจน์: Where is (she/he/it) from?